อุปกรณ์ตัดวงจรเมื่อมีการรั่วไฟฟ้า (GFCI) ช่วยปกป้องผู้คนจากการถูกไฟฟ้าดูดโดยการตรวจสอบกระแสไฟฟ้าในวงจรอย่างต่อเนื่อง หลักการทำงานคือดังนี้:
1. การตรวจสอบสมดุลของกระแส: ภายในอุปกรณ์ GFCI มีทรานส์ฟอร์เมอร์กระแสหรือเซ็นเซอร์ที่คล้ายคลึงกันที่ตรวจสอบกระแสในสายไฟร้อน (ไลน์) และสายกลางพร้อมกัน ในภาวะปกติ กระแสในสองสายไฟควรเท่ากันแต่มีทิศทางตรงข้ามกัน คือ กระแสที่ไหลเข้าโหลดควรเท่ากับกระแสที่ไหลกลับไปยังแหล่งจ่ายไฟ
2. การตรวจจับความไม่สมดุลของกระแส: หากเกิดการรั่วไฟฟ้า เช่น เมื่อมีคนสัมผัสส่วนที่มีไฟฟ้าและกระแสไหลผ่านคนไปยังพื้น ส่วนเล็กๆ ของกระแสจะไม่ไหลกลับผ่านสายกลาง แต่จะรั่วลงพื้นแทน ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างกระแสในสายไฟร้อนและสายกลาง
3. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว: GFCI ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับความไม่สมดุลของกระแสขนาดเล็กนี้ได้อย่างไว โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 4 ถึง 6 มิลลิแอมแปร์ (mA) ครั้งที่ตรวจพบความแตกต่างของกระแส GFCI จะทำงานทันที ตัดการจ่ายไฟภายในระยะเวลาที่สั้นมาก (โดยทั่วไปน้อยกว่า 0.1 วินาที) ทำให้หยุดการไหลของกระแสที่อาจเป็นอันตรายก่อนที่จะทำให้คนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
4. การให้ความคุ้มครอง: ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าคนจะสัมผัสส่วนที่มีไฟฟ้า GFCI ก็สามารถตัดวงจรได้ก่อนที่คนจะได้รับไฟฟ้าดูดรุนแรง ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของการถูกไฟฟ้าดูดลงอย่างมาก
5. เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น: เนื่องจากน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ความเสี่ยงของการถูกไฟฟ้าดูดจะเพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือภายนอก GFCI มีประโยชน์อย่างมากในสถานที่เหล่านี้ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอย่างมาก
สรุปแล้ว GFCI เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่สำคัญ สามารถตัดการจ่ายไฟอย่างรวดเร็วก่อนที่สถานการณ์อันตรายจะเต็มที่ ปกป้องบุคคลจากการถูกไฟฟ้าดูดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือรุนแรงได้ ซึ่งถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในที่พักอาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโอกาสสัมผัสน้ำหรือพื้นดิน