1. โครงสร้างและขนาด
สายไฟ: โดยทั่วไปประกอบด้วยตัวนำไฟฟ้าที่ยืดหยุ่นหลายเส้นพร้อมชั้นฉนวนภายนอก สายไฟมีขนาดเล็กและมีโครงสร้างค่อนข้างง่าย
สายเคเบิล: ประกอบด้วยแกนนำไฟฟ้าหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งแกนที่แยกออกจากกันโดยฉนวน และปกคลุมด้วยปลอกป้องกันภายนอก สายเคเบิลมีขนาดใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อนกว่า
2. จุดประสงค์
สายไฟ: ใช้สำหรับส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าและสัญญาณในปริมาณน้อย เหมาะสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในบ้าน การเดินสายภายในอาคาร เป็นต้น ความจุในการรับโหลดของสายไฟจำกัด ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานที่มีกำลังไฟต่ำ
สายเคเบิล: ใช้สำหรับส่งผ่านและกระจายพลังงานไฟฟ้าที่มีกำลังสูงหรือส่งสัญญาณ สายเคเบิลถูกใช้แพร่หลายในการส่งผ่านพลังงานไฟฟ้า การสื่อสาร และสาขาอื่น ๆ สามารถรับกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าที่สูงได้
3. วัสดุ
สายไฟ: วัสดุนำไฟฟ้าที่ใช้โดยทั่วไปคือทองแดงหรืออลูมิเนียม และมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ของแข็ง ของพัน หรือทอเป็นแผ่น สถานะของฉนวนอาจไม่มีฉนวนหรือมีฉนวน
สายเคเบิล: ทำจากวัสดุที่มีความนำไฟฟ้าสูงเช่นกัน แต่มีฉนวนและชั้นป้องกันที่ซับซ้อนมากขึ้นเพื่อให้มั่นใจในการส่งผ่านอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
4. คุณสมบัติ
สายไฟ: เนื่องจากใช้สำหรับการส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าต่ำ สายไฟมักจะนิ่มและยืดหยุ่น ทำให้ง่ายต่อการติดตั้งและใช้งาน
สายเคเบิล: ออกแบบมาเพื่อมีความทนทานและมีการป้องกัน สายเคเบิลมักจะแข็งและสามารถทนต่อความเครียดทางกลและสภาพแวดล้อมที่ท้าทายได้มากขึ้น
5. ความแข็ง
สายไฟ: มีความแข็งต่ำ ค่อนข้างนิ่ม เนื่องจากมีความสามารถในการรับกำลังไฟและกระแสไฟฟ้าที่น้อยกว่า
สายเคเบิล: มีความแข็งสูงและโครงสร้างที่แข็งแรง เหมาะสำหรับการส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าและสัญญาณที่มีกำลังสูง
สรุป
แม้ว่าสายไฟและสายเคเบิลสามารถใช้แทนกันได้ในบางกรณี แต่การเลือกใช้สายไฟหรือสายเคเบิลที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีความแตกต่างอย่างมากในด้านโครงสร้าง ขนาด จุดประสงค์ วัสดุ และคุณสมบัติ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในทางปฏิบัติ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมตามความต้องการเฉพาะจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด